ลับลวงพรางเขมรรบเขมรไทยงัดแผน"บดินทรเดชา"สยบ

ความพยายามของการเปิดศึกครั้งนี้ อยู่ที่กองกำลังทหารกัมพูชา ที่นำโดย พล.ท.ฮุน มาเน็ต บุตรชายของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เพิ่งได้รับการติดยศเป็น พล.ท. โดยดำรงตำแหน่งรอง ผบ.กองพลทหารราบ และรอง ผบ.หน่วยองครักษ์ฮุน เซน เมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา

การเปิดศึกครั้งนี้ น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเป็นแม่ทัพของ พล.ท.ฮุน มาเน็ต ที่พยายามเปิดศึกกับทหารไทยมาตลอด 3-4 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเปิดศึกเมื่อช่วงเย็นของค่ำคืนที่ผ่านมา เพื่อที่ต้องการยึดพื้นที่ของฐานปฏิบัติการทางทหารบริเวณ โดนอาวน์ ที่อยู่บริเวณทางขวาของปราสาทพระวิหาร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีกำลังฐานปฏิบัติการทหารอยู่ในพื้นที่ การที่กำลังทหารของกัมพูชาพยายามยึดฐานปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งถือเป็นยุทธวิธีทางทหารที่ปฏิบัติกันมา

การปฏิบัติการรุกคืบของทหารกัมพูชาครั้งนี้ ถูกมองว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ต ต้องการประกาศศักยภาพด้านการทหาร และให้ทหารกัมพูชายอมรับฝีมือ มากกว่าอาศัยบารมีของสมเด็จฮุน เซน

แม้ก่อนหน้านี้หน่วยองครักษ์ฮุน เซน จะเข้ามาตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นปีแล้วก็ตาม แต่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ฮึง บุน เฮียน ผบ.หน่วยองครักษ์สมเด็จฮุน เซน

เหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า มีนัยคือ ประชาชนชาวกัมพูชาที่เคยเชื่อมั่น เชื่อถือ และความศรัทธา อยู่ในช่วงขาลง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ

จึงมีการแสดงแสนยานุภาพของทหารกัมพูชาและศักยภาพด้านการทหาร และการปลุกกระแสรักชาติรักแผ่นดินขึ้นมา ประชาชนหันกลับส่งเสริมบารมีสมเด็จฮุน เซน และได้ใจจากประชาชนกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่สนว่า การสู้รบครั้งนี้จะแพ้หรือชนะ เพียงขอให้ได้ใจประชาชนชาวกัมพูชากลับคืนมา

แม้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมีการพูดคุย พล.อ.เตีย บัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาว่า ให้มีการหยุดยิงทั้งสองฝ่าย และตั้งโต๊ะเจรจากัน แต่ก็ไร้ผล

แค่ตกลงกันเพียงค่ำคืน สถานการณ์คุกรุ่นอาฟเตอร์ช็อกก็เกิดขึ้นมาอีกเป็นระยะ ทำให้การเจรจาของผู้นำทหารไทยกับกัมพูชาต้องพับโต๊ะไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีการพูดจาและตกลงกันไว้อย่างชัดเจน

ต้องมาตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นในกัมพูชา ระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับ พล.อ.เตีย บัน เพราะทหารในกองทัพที่ พล.อ.เตีย บัน กำกับดูแลไม่เห็นด้วย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความอ่อนอาวุโส เพราะมีอายุเพียง 33 ปีเท่านั้น ต้องการพิสูจน์ตนเองเพื่อให้ได้รับความยอมรับในฐานะว่าที่ผู้สืบทอดของสมเด็จฮุน เซน

ขณะที่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ได้รับคำสั่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้นำคณะนายทหารขึ้นไปเจรจาเพื่อหาทางออกไม่ให้เกิดสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา

โดยฝั่งกัมพูชามี พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา และพ.ท.สะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการพลสนับสนุนที่ 2 ของกัมพูชา ซึ่งข้อตกลงที่ให้ไว้ร่วมกันมี 4 ประเด็น คือ 1.ต่างฝ่ายต่างตกลงกันว่าจะหยุดยิงของกำลังทหารทั้งสองฝ่าย 2.จะไม่มีการเพิ่มกำลังของทหารทั้งสองฝ่าย 3.ผู้บังคับบัญชาแต่ละฝ่ายจะต้องกำกับดูแลกำลังพลไม่ให้มีอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการเล่นปืนลั่น เพื่อนำไปสู่เหตุการปะทะกัน และ 4.ให้นำทหารชุดประสานงาน ซึ่งเป็นทหารของทั้งสองฝ่ายเจรจาในพื้นที่บริเวณใกล้กับปราสาทพระวิหาร

แต่สุดท้ายกองทัพกัมพูชาก็ยังคงปฏิบัติการเปิดศึกตีถล่มทหารไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทหารไทยเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ได้ปฏิบัติการตอบโต้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อปกป้องดินแดนอธิปไตยของไทยนั่นเอง

ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคง ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ประกอบไปด้วย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และนายทหารระดับสูงที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือและประเมินสถานการณ์เหตุการณ์ปะทะกันของทหารไทยกับกัมพูชาเป็นการเร่งด่วน

การผุดแผนรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดนขึ้นมาปฏิบัติการนั้น หากเห็นว่าสถานการณ์บริเวณตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ศรีสะเกษ เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินขึ้น จะมีการสนธิกำลังจากทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ เพื่อปฏิบัติการในการปกป้องอธิปไตย

แต่หากสถานการณ์ยังไม่มีการพัฒนาลุกลามบานออกไป ยังคงใช้ แผนปฏิบัติการบดินทรเดชา โดยจะใช้กำลังพลจากกองทัพภาคที่ 2 มีแม่ทัพภาคที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการรบในพื้นที่ มีกองกำลังสนับสนุนจากทหารม้า ทหารราบ และทหารปืนใหญ่ เข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ หรือแม้แต่ พล.อ.ประวิตร ในฐานะแม่ทัพเจ้ากระทรวง ก็ยืนยันและประกาศชัดเจนว่า กำลังทหารไทยจะสามารถปฏิบัติการด้วยการใช้อาวุธก็ต่อเมื่อทหารกัมพูชาปฏิบัติการโจมตีมายังทหารไทยบริเวณดังกล่าว และย้ำว่า ให้ทหารทุกนายมีระเบียบวินัยและเป็นสุภาพบุรุษในการปฏิบัติการทางทหาร โดยยึดมั่นและเป็นหนึ่งเดียวที่จะไม่ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้กัมพูชาก่อน แต่จะปฏิบัติการได้ก็ต่อเมื่อถูกรุกรานจากกัมพูชานั่นเอง